การอัลตร้าซาวด์ระหว่างตั้งครรภ์: ความสำคัญและช่วงเวลาที่ควรตรวจ
Share
การอัลตร้าซาวด์ระหว่างตั้งครรภ์เป็นการตรวจที่ช่วยให้แพทย์สามารถติดตามพัฒนาการของทารกและความสมบูรณ์ของการตั้งครรภ์ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งการตรวจนี้มีหลากหลายรูปแบบและช่วงเวลาที่แนะนำ เพื่อให้มั่นใจว่าการตั้งครรภ์จะดำเนินไปอย่างปลอดภัยและทารกมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ การอัลตร้าซาวด์มีความสำคัญต่อการตรวจสุขภาพครรภ์และมีรูปแบบการตรวจหลัก ๆ ได้แก่ อัลตร้าซาวด์ 2 มิติ, 3 มิติ และ 4 มิติ แต่ละแบบมีประโยชน์และความเหมาะสมต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีการอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอดซึ่งช่วยในการตรวจครรภ์ในระยะแรกและกรณีจำเป็นพิเศษด้วย
1. การอัลตร้าซาวด์ครั้งแรก (ประมาณ 6-8 สัปดาห์)
ในช่วงนี้ แพทย์จะตรวจเพื่อยืนยันว่าคุณแม่ตั้งครรภ์จริง รวมถึงตรวจตำแหน่งของถุงการตั้งครรภ์และดูว่ามีการเต้นของหัวใจทารกหรือยัง การตรวจในช่วงแรกนี้ช่วยให้ทราบว่าทารกอยู่ในมดลูกและพัฒนาตามปกติ
2. การอัลตร้าซาวด์ครั้งที่สอง (ประมาณ 11-14 สัปดาห์)
การตรวจในช่วงนี้ช่วยให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น การวัดความหนาของผิวหนังที่คอทารก (Nuchal Translucency) ซึ่งช่วยประเมินความเสี่ยงของการเป็นดาวน์ซินโดรมและความผิดปกติอื่น ๆ ของทารกในครรภ์
3. การอัลตร้าซาวด์ครั้งที่สาม (ประมาณ 18-22 สัปดาห์)
การตรวจนี้มีความละเอียดมากขึ้น โดยแพทย์จะตรวจโครงสร้างทางกายภาพของทารก เช่น โครงสร้างหัวใจ กระดูกสันหลัง และสมอง เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในร่างกายของทารก
4. การอัลตร้าซาวด์ครั้งที่สี่ (ประมาณ 32-36 สัปดาห์)
ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ แพทย์จะตรวจเพื่อประเมินการเจริญเติบโตทั่วไปของทารก รวมถึงตรวจการไหลเวียนของเลือดในสายสะดือและตำแหน่งของทารก เพื่อให้ทราบว่าทารกมีสุขภาพสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการคลอด
ประเภทของการอัลตร้าซาวด์
1. อัลตร้าซาวด์ 2 มิติ (2D Ultrasound)
- **ลักษณะภาพ**: เป็นภาพขาวดำแบบแบนราบที่แสดงโครงสร้างภายในร่างกายของทารก
- **การใช้งานหลัก**: ใช้บ่อยที่สุดในช่วงการตั้งครรภ์เพื่อตรวจสอบการเต้นของหัวใจทารก ตำแหน่งของถุงการตั้งครรภ์ และสุขภาพทั่วไป
- **ข้อดี**: แม่นยำและให้ข้อมูลเพียงพอสำหรับการประเมินสุขภาพทั่วไปของทารก
2. อัลตร้าซาวด์ 3 มิติ (3D Ultrasound)
- **ลักษณะภาพ**: ภาพที่ได้มีลักษณะเป็นสามมิติ เห็นรายละเอียดชัดเจนของอวัยวะภายนอก เช่น ใบหน้าและนิ้วมือ
- **การใช้งานหลัก**: ใช้ตรวจสอบโครงสร้างของทารก เช่น ความผิดปกติของใบหน้า หรือความผิดปกติของอวัยวะภายนอก
- **ข้อดี**: ภาพที่ได้ชัดเจนทำให้ผู้ปกครองสามารถเห็นรูปลักษณ์ของทารกได้อย่างละเอียด
3. อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ (4D Ultrasound)
- **ลักษณะภาพ**: ภาพสามมิติแบบวิดีโอที่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของทารกแบบเรียลไทม์ เช่น การยิ้ม การขยับตัว
- **การใช้งานหลัก**: ใช้ตรวจดูพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของทารก ทำให้เห็นภาพของทารกในครรภ์ที่มีชีวิตชีวา
- **ข้อดี**: ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างครอบครัวและทารก เนื่องจากสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาของทารกในครรภ์ได้ชัดเจน
การอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound) เป็นเทคนิคการอัลตร้าซาวด์ที่ใช้หัวตรวจใส่ผ่านช่องคลอดเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนกว่า มีประโยชน์ในกรณีดังนี้:
1. ตรวจการตั้งครรภ์ระยะแรก (Early Pregnancy)**
การอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอดเหมาะสำหรับการตรวจในช่วง 6-8 สัปดาห์แรก เพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ ตรวจตำแหน่งของถุงการตั้งครรภ์ และตรวจการเต้นของหัวใจทารกอย่างละเอียด
2. ตรวจหาสาเหตุของภาวะเลือดออกผิดปกติ**
หากคุณแม่มีภาวะเลือดออกผิดปกติในระหว่างการตั้งครรภ์ระยะแรก การอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอดจะช่วยตรวจหาสาเหตุ เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือภาวะแท้งได้อย่างแม่นยำ
3. ตรวจดูโครงสร้างอวัยวะภายในของมดลูกและรังไข่**
การอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอดสามารถตรวจสอบความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้อย่างชัดเจน เช่น โครงสร้างมดลูกที่ผิดปกติหรือถุงน้ำในรังไข่
4. การประเมินปากมดลูกในกรณีที่มีความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด**
แพทย์จะใช้การอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอดเพื่อตรวจวัดความยาวของปากมดลูก ซึ่งช่วยให้ประเมินความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดได้แม่นยำขึ้น
ราคาของการอัลตร้าซาวด์ในแต่ละแบบ
ราคาของการตรวจอาจมีเปลี่ยนแปลง หรือ ตามโรงพยาบาลที่คุณแม่ไปตรวจนะคะ โดยทั่วไปแล้วราคาประมาณดังนี้:
1. อัลตร้าซาวด์ 2 มิติ (2D Ultrasound)
ราคา : ประมาณ 500 - 1,500 บาทต่อครั้ง
2. อัลตร้าซาวด์ 3 มิติ (3D Ultrasound)
ราคา : ประมาณ 1,500 - 3,000 บาทต่อครั้ง
3. อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ (4D Ultrasound)
ราคา : ประมาณ 2,500 - 5,000 บาทต่อครั้ง
4. อัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound)
ราคา : ประมาณ 1,000 - 2,500 บาทต่อครั้ง
ราคาข้างต้นเป็นค่าเฉลี่ยและอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานพยาบาลหรือโปรโมชั่นในแต่ละช่วง
การอัลตร้าซาวด์เป็นส่วนสำคัญของการตรวจสุขภาพครรภ์ โดยการเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมกับช่วงเวลาการตั้งครรภ์และความต้องการของแพทย์ช่วยให้การตรวจมีความละเอียดและแม่นยำ ช่วยให้การดูแลครรภ์เป็นไปอย่างปลอดภัย